Patrice Evra ฟลูแบ็คแมนยูจอมซ่า ที่สร้างแรงกระเพื่อมเหยียดสีผิว
หนึ่งในแบ็คซ้ายที่ดีที่สุดของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ก็คือ Patrice Evra
นักเตะผิวสีสัญชาติฝรั่งเศส ซึ่งแน่นอนว่าหากได้รู้เรื่องของชายคนนี้เกี่ยวกับเส้นทางตั้งแต่ที่เขาเป็นเด็กจนเติบโตมาเป็นนักฟุตบอลอาชีพ และในปัจจุบันนี้ประกาศแขวนสตั๊ดและทำหน้าที่เป็นนักวิจารณ์เกมฝีปากกล้า โดยเฉพาะถ้าหากว่าตัวเขาเองได้จัดรายการวิจารณ์เกมการแข่งขันคู่กับ เจมี่ คัลเลเกอร์ อดีตตำนานของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เรียกได้ว่ารายการนั้นจะมันหยดย้อย เพราะทั้งคู่จะวิพากษ์วิจารณ์กันแบบเอนเอียงในฝั่งของทีมที่ตัวเองชื่นชอบ โดยเฉพาะในศึกแดงเดือดที่ระดับตำนานทั้ง 2 ต่างพูดเข้าข้างในทีมของตัวเองที่มันไม่แพ้กับเกมในสนาม
ถ้าหากจะพูดถึงเรื่องของฝีเท้า Patrice Evra จะถูกจดจำในฐานะฟูลแบ็คที่มีรูปร่างเล็ก และมีความเร็ว และแน่นอนว่าเขาคือผู้เล่นที่ดีที่สุดคนหนึ่งและกลายเป็นตำนานของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ซึ่งระยะเวลา 8 ปี นับตั้งแต่ที่ตัวเขาเองเซ็นสัญญาเข้าสู่ถิ่นโอลด์แทรฟฟอร์ด ในปี 2006 และหมดสัญญาในปี 2014 เกือบ 400 เกมที่ฟลูแบ็คชาวฝรั่งเศสลงสนามให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ต่างก็ประสบความสำเร็จมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแชมป์
- พรีเมียร์ลีก 5 สมัย : 2006-2007, 2007-2008, 2008-2009, 2010-2011, 2012-2013
- ฟุตบอลลีกคัพ 3 สมัย : 2005-2006, 2008-2009, 2009-2010
- เอฟเอคอมมูนิตีชีลด์ 5 สมัย : 2007, 2008, 2010, 2011, 2013
- ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 1 สมัย : 2007-2008
- ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 1 สมัย : 2008
และจะเห็นได้ว่าในช่วงที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมี Patrice Evra ความเร็วในด้านซ้ายจะมีความไหลลื่นเมื่อเปิดเกมบุก จนถูกขนานนามว่าเป็นแบ็คซ้ายที่มีความเร็วที่สุดในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ซึ่งถ้าหากจะเปรียบเทียบการเล่นแน่นอนว่าเจ้าตัวมีความสามารถและมีสกิลที่แตกต่างจากแบ็คซ้ายคนอื่น ๆ เพราะโดยประวัติแล้ว การเริ่มต้นเล่นฟุตบอลของ Patrice Evra เริ่มต้นเล่นในตำแหน่งปีกในช่วงที่ยังเป็นเยาวชนและได้ทดสอบฝีเท้ากับสโมสรปารีส แซงต์ แชร์กแมง ก่อนที่จะย้ายไปเล่นให้กับสโมสรมาร์ซาลา และย้ายมาที่สโมสรมอนซา ก่อนที่จะกลับมาเล่นในสโมสรนีซ ของลีกเอิง ฝรั่งเศส และถูกปรับเปลี่ยนมาเล่นในตำแหน่งแบ็คซ้าย ก่อนที่จะสถาปนาฝีเท้าของตัวเองกับสโมสรโมนาโกกับผู้เล่นตำแหน่งแนวรับอย่างเต็มตัว และนั้นจึงทำให้ Manchester United ตัดสินใจซื้อตัวเข้ามาเสริมทัพในปี 2006 และ Sir Alex ferguson ก็ได้ปักหลักให้กับเขาเล่นในตำแหน่งแบ็คซ้ายในทันที
สำหรับผลงานของ Patrice Evra แน่นอนว่าการย้ายเข้าสู่ Manchester United ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะยึดตำแหน่งตัวจริง ซึ่งเริ่มต้นเขาก็ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวสำรองและได้รับโอกาสลงสนามบ้าง จนกระทั่งใช้เวลาไม่ถึง 2 ฤดูกาลก็ก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นตัวหลัก และทำผลงานให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในฝั่งซ้ายได้อย่างยอดเยี่ยม แต่สิ่งที่แฟนบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ยกให้กับผู้เล่นรายนี้กับการแสดงออกที่สร้างแรงกระเพื้อมในเหตุการณ์ที่ตัวเขาเองถูกเหยียดสีผิวจาก หลุยส์ ซัวเรซ ใน “ศึกแดงเดือด” ที่เกิดขึ้นในวันที่ 15 ตุลาคม 2011 ซึ่งในเกมนั้นแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เสมอกับ ลิเวอร์พูล (1-1) แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลายเป็นเรื่องอื้ฉาว และเป็นข่าวใหญ่ของวงการลูกหนังพรีเมียร์ลีก อังกฤษ
สำหรับเหตุการณ์บานปลายในเรื่องของการเหยียดสีผิว และสร้างแรงกระเพื่อมจนถึงปัจจุบันนี้เกิดขึ้นใน “ศึกแดงเดือด”
ในวันที่ 15 ตุลาคม 2011 ซึ่งในช่วงท้ายเกม Patrice Evra แบ็คซ้ายของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เข้าปะทะอย่างหนักกับ หลุยส์ ซัวเรซ กองหน้าของ ลิเวอร์พูล และแน่นอนว่าเมื่อทั้งคู่เกิดอารมณ์จากการกระทบกระทั่งอย่างหนัก ซัวเรซ จึงได้ด่าและใช้คำพูดหยาบคาย ซึ่งหากแปลความหมายเป็นภาษาไทยก็ตรงตามตัวว่า “ไอ้มืด ซึ่ง หลุยส์ ซัวเรซ พยายามที่จะอธิบายว่านี่คือภาษาสเปนที่ชาวอุรุกวัยใช้เรียกกับเพื่อน แต่ทาง FA ได้วินิจฉัยพร้อมกับสืบสวน และบอกว่าเป็นการชี้ความผิดถึงการเหยียดสีผิว จึงทำให้กองหน้าชาวอุรุกวัยของลิเวอร์พูล ถูกแบน 8 นัด และปรับเงินอีก 40,000 ปอนด์ หรือประมาณ 2 ล้านบาท
และหลังจากเหตุการณ์นั้น ทางสโมสรลิเวอร์พูล ไม่ได้ตระหนักถึงการเหยียดสีผิว ยังทำแคมเปญสกรีนเสื้อใส่วอร์มก่อนแข่งของนักเตะ โดยสกรีนเป็นหน้า หลุยส์ ซัวเรซ และนั่นยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า ลิเวอร์พูล พวกภูให้การสนับสนุนกับพฤติกรรมของ หลุยส์ ซัวเรซ ที่มีต่อเพื่อนร่วมอาชีพ จนทำให้เป็นแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ที่แฟนบอลทั่วโลกต่างก็โจมตีสโมสรลิเวอร์พูล ที่พวกเขาให้การสนับสนุนแคมเปญดังกล่าว
และหลังจากจบเหตุการณ์อื้อฉาว และยังมีข่าวต่อเนื่องซึ่ง “ศึกแดงเดือด” ในพรีเมียร์ลีกของฤดูกาลเดียวกันก็มีภาพที่ติดตาแฟนบอลของทั้งสองทีมในช่วงที่นักเตะเดินจับมือกันก่อนเกมการแข่งขัน ซัวเรซ และ Patrice Evra พวกเขาไม่ได้สัมผัสมือกันและกลายเป็นข่าวดังทั่วโลกอีกครั้ง และแน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้น สมาพันธ์ฟุตบอลของอังกฤษ พวกเขาควรที่จะโฟกัสกับเรื่องของการเหยียดสีผิว และถึงแม้ว่า หลุยส์ ซัวเรซ จะยังคงยืนยันว่าเขาไม่ได้มีเจตนาที่จะเหยียดสีผิว แต่เป็นคำพูดในภาษาสเปนที่แปลว่า “ไอ้มืด” แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น ซึ่งการเฝ้าจับตามองของแฟนบอลทั่วโลก และสมาคมฟุตบอลอังกฤษในปัจจุบันนี้ก็คงจะเริ่มต้นจากเหตุการณ์ที่นักเตะเหยียบสีผิวกัน และบอกว่าพูดเล่น ซึ่งยังคงพบเห็นในปัจจุบันนี้
และแน่นอนว่าเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ก็คงจะเป็นเหตุการณ์ใน “ศึกแดงเดือด” ที่ Patrice Evra และ หลุยส์ ซัวเรซ ได้กระทบกระทั่งและใช้คำพูดเกี่ยวกับเรื่องการเหยียดสีผิว ถึงแม้ว่าจะพูดเล่นก็ตาม สมาพันธ์ฟุตบอลอังกฤษก็มองเห็นเป็นประเด็นสำคัญจนถึงปัจจุบันนี้ Patrice Evra ฟลูแบ็คแมนยูจอมซ่า ที่สร้างแรงกระเพื่อมเหยียดสีผิว
ติดตามช่องทางอื่นๆ ได้ที่
Website : ผีแดง Society
Facebook : ผีแดง Society
Instagram : Reddevilsociety
YouTube : ผีแดง Society